น้ำมันที่ให้ประโยชน์อันน่าทึ่งต่อสุขภาพ นอกเหนือจากการบำรุงความงาม แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้ามไปเสียอย่างนั้น
น้ำมันมะพร้าวที่ถูกบอกต่อกันมาว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า กินแล้วดีจริงหรือ เพราะถึงจะมีสรรพคุณต่อสุขภาพอันน่าทึ่งหลายประการ แต่ก็ยังเป็นน้ำมันชนิดหนึ่งอยู่ดี หากกินมาก ๆ อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ กระปุกดอทคอมจึงมีคำเฉลยในเรื่องนี้มาให้อ่านกัน ให้รู้ไปเลยว่า สรุปแล้ว คำร่ำลือที่บอกว่ากินน้ำมันมะพร้าวแล้วดีต่อสุขภาพน่ะ แท้จริงแล้ว เขากินกันอย่างไร แล้วมีประโยชน์ในด้านไหนบ้าง
น้ำมันมะพร้าว คืออะไร
น้ำมันมะพร้าวก็คือ น้ำมันที่ได้จากผลมะพร้าวนั่นเอง โดยนำมาสกัดแยกน้ำมันออกจากเนื้อมะพร้าวด้วยวิธีสกัดเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความร้อนสูง และไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี น้ำมันที่ได้จึงมีลักษณะใสเหมือนน้ำ ไม่มีกลิ่นหืน อาจมีชิ้นเนื้อมะพร้าว และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมะพร้าวปนมาด้วย เพราะเหตุนี้เอง น้ำมันมะพร้าวจึงมีชื่อเรียกหลายชื่อ ทั้งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Extra Virgin Coconut Oil) น้ำมันมะพร้าวบีบเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น
น้ำมันมะพร้าวเป็นของเหลวก็จริง แต่ก็สามารถกลายสถานะเป็นของแข็งได้ โดยน้ำมันมะพร้าวจะมีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส และกลายสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส แต่เราสามารถทำให้มันเป็นของเหลวได้อย่างง่ายโดยใช้ความร้อนเพียงเล็กน้อย
ในน้ำมันมะพร้าวนั้นประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว (มากกว่า 90% จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) แต่กรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ที่พบในน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง (medium chain fatty acid)
น้ำมันมะพร้าวที่ดี สังเกตยังไง
น้ำมันมะพร้าวที่วางขายกันทั่วไปอาจมีหลายยี่ห้อ ทำให้เราตัดสินใจเลือกไม่ถูกว่าแบบไหนดีกว่ากัน เรามีวิธีการสังเกตน้ำมันมะพร้าวที่ได้คุณภาพมาฝากค่ะ
* ต้องมีความใส ไม่มีสี ลักษณะโปร่งแสง ไม่มีการตกตะกอน แต่การสังเกตจากข้อนี้อาจไม่ชัดเจน เพราะบางยี่ห้อก็บรรจุในขวดพลาสติกขุ่น หรือมีสี แต่ถ้าบรรจุขวดแก้วก็จะสังเกตได้ง่ายกว่า
* ต้องมีกลิ่นหอมของมะพร้าว ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว แม้ว่าจะมีการเปิดใช้หลายครั้งแล้ว แต่ด้วยกระบวนการผลิตในบางยี่ห้อ อาจมีการดัดแปลงโดยใช้น้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นมะพร้าว หรือกลิ่นมะพร้าวน้ำหอมเข้าไป ทำให้มีกลิ่นหอมมากในตอนเปิดขวดแรก ๆ แต่หลังจากนั้นความหอมจะจางลง กลายเปลี่ยนเป็นเหม็นเปรี้ยว ซึ่งจะทำให้อายุของน้ำมันมะพร้าวอยู่ได้ไม่นาน
* ต้องความหนืดน้อย สามารถกลืนลงคอได้อย่างง่ายดาย มีความรู้สึกเหมือนละลายในปาก ไม่ให้ความรู้สึกเลี่ยน หรือเมื่อนำไปทาผิวแล้ว สามารถซึมสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิว
ประโยชน์น้ำมันมะพร้าว มาดู ดีต่อสุขภาพยังไง
น้ำมันมะพร้าวถูกจัดว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันชนิดอื่น เพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ร่างกายดึงไปเผาผลาญได้เร็ว นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุสำคัญและวิตามินละลายในไขมันบางชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ ดี อี เค ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที เพราะคุณค่าเหล่านี้จึงทำให้น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน
สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวที่มีต่อสุขภาพ
มาดูกันว่าในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยประโยชน์สุขภาพในเรื่องใดบ้าง
1. กินแล้วไม่อ้วน
น้ำมันมะพร้าวให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น นั่นคือ 8.6 กิโลแคลอรีต่อกรัม ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นให้พลังงานถึง 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม มีกรดไขมันอิ่มตัวที่ไม่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและไขมันทรานส์ น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึมนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้อาหารหรือปริมาณแคลอรีถูกนำไปเผาผลาญมากขึ้น ไม่เหลือเป็นแคลอรีส่วนเกิน ที่จะถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน
2. กระตุ้นการขับถ่าย
น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ใหญ่ จึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย สำหรับคนที่กินน้ำมันมะพร้าวในระยะแรกอาจมีอาการท้องเสีย ถือว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากกินไปสักระยะแล้วยังมีอาการท้องเสียอยู่ ควรหยุดทาน เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจไม่เหมาะกับธาตุในร่างกาย
3. บำรุงกำลัง
น้ำมันมะพร้าวนั้นกินแล้วย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญได้ทันที อีกทั้งกินแล้วอิ่มนาน จึงทำให้ร่างกายมีกำลังเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงถูกนำไปบำรุงกำลังแก่นักกีฬาทั้งแบบชงดื่ม และแบบแท่ง รวมถึงเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุด้วย
4. ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อม
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคตับ และโรคไต
5. บำรุงกระดูก
สารอาหารในน้ำมันมะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูก ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ไม่ให้เปราะ แตกหักง่าย
6. บำรุงครรภ์
น้ำมันมะพร้าวถือว่าเป็นอาหารที่ดีต่อคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคุณแม่รับประทานน้ำมันมะพร้าวในช่วงตั้งครรภ์ ก็จะช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ดี และเป็นการเพิ่มคุณค่าของน้ำนมแม่อีกด้วย เพราะในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำนมแม่ นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง รวมทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุน หรือการสูญเสียแคลเซียมของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อีกด้วย
7. ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
ในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก กรดคาปริก และกรดคาปริลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวติดต่อกันทุกวันในปริมาณเพียงเล็กน้อยจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ลดความเครียด และอาการอ่อนเพลียได้ด้วย
8. ลดการอักเสบและติดเชื้อ
น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อได้ เพราะกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะถูกเปลี่ยนเป็น สารมอโนลอริน (monolaurin) มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกัน และมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย ถือเป็นเป็นทั้งยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่เริม คางทูม เจ็บคอ
9. บำรุงสุขภาพในช่องปาก
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก อันเป็นสาเหตุให้เกิดคราบพลัคที่จะนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ภายในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ เหงือกช้ำ บวม แดง หรือเลือดออกตามไรฟัน รวมถึงอาการติดเชื้อบริเวณลำคอด้วย วิธีใช้คือนำน้ำมันมะพร้าวมาอมบ้วนปากครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 1 ครั้ง
10. ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึงร้อยละ 92 ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังมีวิตามินไบโอที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง
ความพิเศษของน้ำมันมะพร้าวอยู่ตรงที่เราสามารถตวงกับช้อนแล้วกินได้เลย หรือจะนำไปปรุงเป็นเมนูคาวหวานก็ได้ แม้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะกินแล้วดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังต้องระวังเรื่องปริมาณการบริโภค รวมถึงต้องปรับพฤติกรรมการกินควบคู่ไปด้วย มิเช่นนั้น อาจให้ผลตรงกันข้าม
สำหรับวิธีการกินน้ำมันมะพร้าวที่เหมาะสมนั้น อาจยึดหลักจากน้ำหนักตัว ดังนี้
- น้ำหนักตัว 30-40 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ไม่เกิน 0.5 ช้อนโต๊ะต่อวัน
- น้ำหนักตัว 40.1-60 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน
- น้ำหนักตัว 60.1-80 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ไม่เกิน 1.5-2 ช้อนโต๊ะต่อวัน
- น้ำหนักตัว 80.1 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ไม่เกิน 2.5-3 ช้อนโต๊ะต่อวัน
- เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ไม่เกินวันละ 1-2 ช้อนชา
- ผู้สูงอายุรับประทานไม่เกินวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ
ทั้งนี้ การกินน้ำมันมะพร้าวภายในครั้งเดียวร่างกายอาจรับไม่ได้ ดังนั้น ควรจะแบ่งทานเป็น 3 เวลา นอกจากนี้อาจรวมถึงการนำน้ำมันมะพร้าวไปเป็นส่วนหนึ่งในการปรุงประกอบอาหาร เช่น นำไปผัดอาหารแทนน้ำมันชนิดอื่น ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น